“เป็นผู้รับเพื่อเป็นผู้ให้ด้วยสิทธิอำนาจ”

ในปัจจุบันมีคนมากมายมุ่งหวังที่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว โดยไม่อยากจะเป็นผู้ให้ จึงเกิดเป็นภาพน่าเกลียดๆ ของคนที่เอาแต่ได้ เอาแต่กิน เอาแต่กอบโกย  แต่ก็มีคนที่ฉลาดกว่านั้น คือ เป็นผู้ให้เพื่อจะได้รับในภายหลัง จะมีบ้างที่บางคนคิดว่า ขอเป็นผู้ให้อย่างเดียว โดยไม่ต้องการเป็นผู้รับ ด้วยคิดว่า จะได้บุญกุศล และมีความสุขใจ สบายใจที่ได้ให้ก็มี ซึ่งสอดคล้องกับพระคัมภีร์ในกิจการ 20:35 35 ข้าพเจ้า​ได้​วาง​แบบอย่าง​ไว้​ให้​ท่าน​ทุก​อย่าง​แล้ว ให้​เห็น​ว่า​โดย​ทำงาน​เช่นนี้​ควร​จะ​ช่วย​คน​ที่​มี​กำลัง​น้อย ระลึก​ถึง​พระ​วาทะ​ของ​พระ​เยซู​เจ้า ซึ่ง​พระ​องค์​ตรัส​ว่า ‘การ​ให้​เป็น​เหตุ​ให้​มี​ความ​สุข​ยิ่ง​กว่า​การ​รับ’ ” พระธรรมตอนนี้กำลังพูดถึง เรื่องของการเป็นผู้ให้และผู้รับ เกี่ยวข้องกับสิ่งของ ความขาดแคลน  ความจำเป็นในปัจจัยสี่  แต่หัวข้อคำเทศนาในวันนี้เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้าง ซึ่งผู้ที่ต้องการจะเติบโตไปจนถึงความเป็นผู้ใหญ่ จนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ นอกจากจะเป็นผู้ให้ในพื้นฐานปัจจัยสี่ของมนุษย์แล้ว  จำเป็นต้องเป็นผู้รับและผู้ให้ในด้านของการเสริมสร้าง คำว่า “เสริมสร้าง” ในพระคัมภีร์ได้ยกภาพชีวิตคริสเตียนเป็นเหมือนกับตึก ซึ่งต้องมีการวางรากฐานที่มั่นคง  โดยเฉพาะการเสริมสร้างชีวิตคริสเตียนนั้น ได้มีการกำหนดสเป็กไว้ล่วงหน้าแล้ว จะเปลี่ยนเป็นสเป็กอื่นไม่ได้ 1โครินธ์ 3:9-11 9 เพราะ​ว่า​เรา​ทั้ง​หลาย​ร่วมกัน​ทำงาน​เพื่อ​พระ​เจ้า ท่าน​ทั้ง​หลาย​เป็น​ไร่​นา​ของ​พระ​เจ้า และ​เป็น​ตึก​ของ​พระ​องค์10 โดย​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า​ซึ่ง​ได้​ทรง​โปรด​ประทาน​แก่​ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า​ได้​วาง​ราก​ลง​แล้ว​เหมือน​นาย​ช่าง​ผู้​ชำนาญ และ​อีก​คน​หนึ่ง​ก็​มา​ก่อ​ขึ้น ขอ​ทุก​คน​จง​ระวัง​ให้​ดี​ว่า​เขา​จะ​ก่อ​ขึ้น​มา​อย่างไร​11 เพราะ​ว่า​ผู้ใด​จะ​วาง​ราก​อื่น​อีก​ไม่ได้​แล้ว นอก​จาก​ที่​วาง​ไว้​แล้ว​คือ​พระ​เยซู​คริสต์​

อ.เปาโลกำลังกล่าวถึงบทบาทของผู้เสริมสร้าง ผู้เตรียมธรรมิกชนเพื่อการรับใช้ คือคนที่ทำหน้าที่วางรากฐานให้กับผู้เชื่อทุกคน คือการนำให้ทุกคนเริ่มต้นความเชื่อที่คำสอนและการบุกเบิกความเชื่ออย่างพระเยซูคริสต์   พระเยซูทรงตรัสถึงการสร้างเรือนบนรากฐานสองชนิด มัทธิว 7:24-27 24 “เหตุ​ฉะนั้น​ผู้ใด​ที่​ได้​ยิน​คำ​เหล่า​นี้​ของ​เรา และ​ประพฤติ​ตาม เขา​ก็​เปรียบ​เสมือน​ผู้​ที่​มี​สติปัญญา​สร้าง​เรือน​ของ​ตน​ไว้​บน​ศิลา​25 ฝน​ก็​ตก​และ​น้ำ​ก็​ไหล​เชี่ยว ลม​ก็​พัด​ปะทะ​เรือน​นั้น แต่​เรือน​มิได้​พัง​ลง เพราะ​ว่า​ราก​ตั้งอยู่​บน​ศิลา​26 แต่​ผู้​ที่​ได้​ยิน​คำ​เหล่า​นี้​ของ​เรา​และ​ไม่​ประพฤติ​ตาม​เล่า เขา​ก็​เปรียบ​เสมือน​ผู้​ที่​โง่​เขลา สร้าง​เรือน​ของ​ตน​ไว้​บน​ทราย​27 ฝน​ก็​ตก​และ​น้ำ​ก็​ไหล​เชี่ยว ลม​ก็​พัด​ปะทะ​เรือน​นั้น เรือน​นั้น​ก็​พังทลาย​ลง และ​การ​ซึ่ง​พังทลาย​นั้น​ก็​ใหญ่​ยิ่ง”  ในบทเรียนของการบำบัดภายในชีวิตของคนที่มีบาดแผลในวัยเด็ก ได้แสดงให้เราได้เห็นว่า อิฐก้อนแรกในชีวิตของวัยเด็กของคนไม่น้อยที่มีบาดแผลกับพ่อแม่ของตนเอง ทำให้อิฐก้อนแรก คือความไว้วางใจแรกที่ควรได้รับจากพ่อแม่ กลายเป็นอิฐก้อนร้าว การคาดหวังจากพ่อแม่และไม่ได้รับจึงกลายเป็นความกลัวที่จะไว้วางใจ เกิดขึ้นในวัยที่เรียกว่าปีทองของเด็กๆ เมื่ออิฐก้อนต่อไปจะสร้างต่อก็แตกร้าวมากขึ้น คือไม่ไว้วางใจเพิ่มขึ้น ภาพที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสถึงการสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา หรือสร้างไว้บนดินทราย เปรียบเทียบให้เห็นว่า บ้านที่สร้างบนอิฐก้อนร้าวก็ไม่ต่างจากดินทรายที่ไม่มั่นคง ชีวิตที่วางอยู่บนอิฐก้อนร้าวจึงเป็นชีวิตที่แสดงออกที่ชัดเจนก็คืออารมณ์ไม่มั่นคง หวั่นไหวง่าย เมื่อมีอะไรมากระทบ  ยังมีที่ซับซ้อนกว่านั้น โดยรวมกลายเป็นความไม่มั่นคงทางจิตใจ ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า Insecured  แสดงออกในแง่ของการปกป้องตนเอง ความปรารถนาการเป็นที่ยอมรับ การไม่ยอมรับความจริง แม้กระทั่งยอมรับไม่ได้กับการถูกปฏิเสธ

ทำไมการประพฤติตามคำสอนของพระเยซูจึงเปรียบเหมือนการสร้างบ้านไว้บนศิลา เอเฟซัส 2:19-22  19 เหตุ​ฉะนั้น​ท่าน​จึง​ไม่ใช่​คน​ต่างด้าว​ต่าง​แดน​อีก​ต่อไป แต่​ว่า​เป็น​พล​เมือง​เดียว​กัน​กับ​ธรรมิก​ชน และ​เป็น​ครอบครัว​ของ​พระ​เจ้า​20 ท่าน​ได้​ถูก​ประดิษฐาน​ขึ้น บน​ราก​แห่ง​พวก​อัครทูต​และ​พวก​ผู้เผย​พระ​วจนะ ​พระ​เยซู​คริสต์​ทรง​เป็น​ศิลา​มุม​เอก​21 ​ใน​พระ​องค์​นั้น​ทุก​ส่วน​ของ​โครง​ร่าง​ต่อ​กัน​สนิท และ​เจริญ​ขึ้น​เป็น​วิหาร​อัน​บริสุทธิ์​ใน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​22 และ​ใน​พระ​องค์​นั้น ท่าน​ก็​กำลัง​จะ​ถูก​ก่อ​ขึ้น​ให้​เป็น​ที่​สถิต​ของ​พระ​เจ้า​ใน​ฝ่าย​พระ​วิญญาณ​ด้วย​   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอกคืออิฐก้อนแรกแทนอิฐก้อนร้าว ทำให้เรา  …ไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง (เอเฟซัส 4:14) อิฐก้อนแรกที่ร้าว เกิดขึ้นในวัยเด็ก ก็ส่งต่ออารมณ์แบบเด็ก รวมทั้งการตัดสินอย่างเด็กที่ไม่รอบคอบในวัยผู้ใหญ่ พระเยซูคริสต์ทรงตรัสสอนสาวกของพระองค์ว่า มัทธิว 5:48 48 เหตุ​ฉะนี้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​เป็น​คน​ดี​รอบคอบ เหมือน​อย่าง​พระ​บิดา​ของ​ท่าน ผู้​ทรง​สถิต​ใน​สวรรค์​เป็น​ผู้ดี​รอบคอบ นั่นหมายความว่า พระเยซูต้องการให้เราทุกคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือมีความมั่นคงทั้งทางอารมณ์  และความมั่นคงโดยรวมของทั้งหมดของชีวิต นั่นคือชีวิตนิรันดร์ คือเป้าหมายสูงสุดของชีวิตจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน  ไม่ใช่ดับสูญ ไม่มีตัวตน  มนุษย์เราให้ความสำคัญกับความมีตัวตนของตนเองมาก เพราะฉะนั้น การจะให้ตนเองกลายเป็นดับสูญไม่มีตัวตน เป็นอะไรที่สวนทางกับความปรารถนาที่แท้จริงภายในของมนุษย์  คำสอนของพระเยซูเป็นศิลา เพราะคำสอนของพระองค์คือความสอดคล้องกับธรรมชาติความเป็นมนุษย์ของเรามากที่สุด โดยเฉพาะการเป็นผู้ที่ให้และผู้รับอย่างสมดุล ไม่ใช่ให้อย่างเดียวโดยไม่รับ เป็นไปไม่ได้ คนเราไม่สามารถที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตนเองไม่มี ต้องมีการรับ เพื่อจะให้ เป็นเหตุและผล

พระเยซูทรงตรัสกับหญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำว่า  ยอห์น 4:13-14 13 ​พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า “ทุก​คน​ที่​ดื่ม​น้ำ​นี้​จะ​กระหาย​อีก​14 แต่​ผู้​ที่​ดื่ม​น้ำ​ซึ่ง​เรา​จะ​ให้แก่​เขา​นั้น จะ​ไม่​กระหาย​อีก​เลย น้ำ​ซึ่ง​เรา​จะ​ให้​เขา​นั้น จะ​บังเกิด​เป็น​บ่อ​น้ำพุ​ใน​ตัว​เขา​พลุ่ง​ขึ้น​ถึง​ชีวิต​นิรันดร์”นี่คือภาพของการให้เริ่มต้นจากการรับ   หญิงสะมาเรียเข้าใจว่า พระเยซูขอรับความช่วยเหลือจากนางโดยขอให้นางตักน้ำให้นางดื่ม หญิงคนนี้ออกมาตักน้ำในเวลาเที่ยง เพื่อหนีการพบปะกับผู้คน ที่จะเห็นนาง เพราะนางเป็นคนทำบาป ทำผิดเรื่องเพศ แม้นางเป็นคนบาป นางก็มีความกระหายน้ำดื่ม จะไม่ออกมาเลยก็ไม่ได้ ธรรมชาติคือต้องดื่มน้ำ ดังนั้นจึงเลือกที่จะออกมาในเวลาที่คนอื่นไม่ออกมา แต่เมื่อนางออกมา นางพบพระเยซูซึ่งเป็นคนยิว และได้พูดจากับนาง  สำหรับคนยิว จะไม่พูดกับคนสะมาเรีย หญิงคนนี้ ถูกปฏิเสธแม้กระทั่งกับคนสะมาเรียเอง นางสงสัยว่า คนยิวอย่างพระเยซูที่ปฏิเสธคนสะมาเรีย แม้แต่คนที่ชอบธรรมที่สุดของคนสะมาเรีย  คนยิวก็ไม่คุยด้วย ทำไมพระเยซูไม่ปฏิเสธะเธอซึงเป็นสะมาเรียเหมือนกับคนยิวทั่วไป ไม่เพียงแต่พระเยซูไม่ปฎิเสธหญิงสะมาเรีย  พระเยซูยังรู้ว่า พฤติกรรมของหญิงสะมาเรียคนนี้  ที่หลีกเลี่ยงพบปะผู้คน เพราะผิดวิสัยที่จะออกมาตักน้ำตอนเที่ยงที่แดดจ้า ร้อนมาก พระเยซูไม่เพียงแค่รู้ว่านางต้องการหนีอะไรบางอย่าง พระองค์ทรงรู้แม้กระทั่งว่านางมีผัวมากี่คน ไม่เคยเต็มอิ่มกับชีวิต นี่คือสาเหตุที่นางเป็นที่รังเกียจของสังคมเวลานั้น แต่การรู้ลึกในชีวิตของหญิงสะมาเรียก็ไม่ได้ทำให้พระองค์ปฏิเสธหญิสะมาเรียที่บ่อน้ำในวันนั้น ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงใช้เวลาพูดคุยและให้ถ้อยคำแห่งชีวิตแก่นาง ทำให้นางมาถึงความต้องการน้ำที่ธำรงชีวิต มากกว่าน้ำดื่มดับกระหายธรรมดาๆ นี่คือการรับเพื่อจะให้ของพระเยซูที่พระองค์ทรงเริ่มต้นของน้ำดื่ม รับการปรนนิบัติ (การรับ)จากหญิงสะมาเรีย ทำให้เกิดการเชื่อมต่อ การสื่อสาร การเปิดรับที่ดีจากหญิงสะมาเรียคนบาปคนนี้  พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของการรับเพื่อให้ด้วยสิทธิอำนาจ  มัทธิว 10:8 8…ท่าน​ทั้ง​หลาย​ได้รับ​เปล่าๆ จง​ให้​เปล่าๆ  พระองค์ทรงสอนสาวกของพระองค์เรื่องการรับมาเพื่อให้ และให้โดยไม่คาดหวังการรับกลับคืนมา รากศัพทภาษากรีกที่มาของคำนี้น่าสนใจ คือการให้โดยไม่ต้องมีแรงจูงใจ ให้เพราะเขาต้องการ  และที่น่าสนใจของการให้อย่างพระเยซู คือ การให้ที่ผู้รับได้รับอย่างจุใจ อย่างล้นเหลือ และอย่างไม่ชนิดที่ไม่ต้องมีความต้องการที่จะรับ เพราะมีมากพอที่จะนำชีวิตของคนนั้นไปถึงความพอใจตลอดเวลา ยอห์น 4:14  ​14 แต่​ผู้​ที่​ดื่ม​น้ำ​ซึ่ง​เรา​จะ​ให้แก่​เขา​นั้น จะ​ไม่​กระหาย​อีก​เลย น้ำ​ซึ่ง​เรา​จะ​ให้​เขา​นั้น จะ​บังเกิด​เป็น​บ่อ​น้ำพุ​ใน​ตัว​เขา​พลุ่ง​ขึ้น​ถึง​ชีวิต​นิรันดร์” นี่แหล่ะคือเป้าหมายของการที่เราจะไปถึงความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์ และพระองค์ทรงประทานความสามารถในการเสริมสร้างผู้รับเพื่อเป็นผู้ให้ แก่คริสตจักร ด้วยเครื่องมือ ห้าอย่างที่ได้บันทึกในหนังสือเอเฟซัส 4:11-16 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์16 คือเนื่อง จากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว   ข้าพเจ้าเชื่อว่า ของประทานห้าอย่างอยู่ในคริสตจักร และในคริสจักรใจสมานเพชรเกษม 11 ไม่จำเป็นต้องเด่นชัดขนาดที่จะไปทำให้นอกคริสตจักร หรือเด่นชัดขนาดถูกเรียกว่า อัครทูต ผู้เผยพระวจนะโดยตำแหน่ง แต่สามารถเด่นชัดที่จะให้พระกายเติบโตภายในคริสตจักรของตนเองได้  ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ในคริสตจักรของเรามีของประทานห้าอย่างนี้แน่นอน

เราเป็นชุมชนอัครทูตที่พระเจ้าทรงใช้เราออกมาตั้งคริสตจักรแห่งนี้ในพื้นที่ท่าพระ และมาถึงปีที่สิบสองอย่างมั่นคง และจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

เราเป็นชุมชนแห่งการประกาศ ที่ประกาศกับคนมากมาย

เราเป็นชุมชนแห่งการเผยพระวจนะ มีการสำแดงที่สดใหม่ มีการทรงสถิต มีการทรงนำของพระเจ้าอยู่กับเรา

เราเป็นชุมชนแห่งการเลี้ยงดูจิตวิญญาณ การเป็นผู้เลี้ยงอย่างศิษยาภิบาล

และเราเป็นชุมชนแห่งการมีถ้อยคำแห่งคำสั่งสอน การเป็นอาจารย์ การดำเนินชีวิตอย่างที่เราสอน มีพระเยซูทรงเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อให้กับเราในเรื่องนี้  นี่คือของประทานห้าอย่างที่อยู่ในท่ามกลางเราที่กำลังทำให้เราเจริญเติบโตไปสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์

ดังนั้น คริสเตียนจึงไม่ควรขาดการมาโบสถ์ เพราะขาดโบสถ์ทำให้ขาดการรับการเสริมสร้าง แล้วจะเป็นผู้ให้ได้อย่างไร

คำว่า ดีใจจังที่เห็นคุณวันนี้ คือการบอกว่า คุณกำลังทำบทบาทผู้รับและผู้ให้ แก่คนที่พบคุณในโบสถ์ การร้องเพลนมัสการ การฟังเทศนา คือบทบาทของการเป็นผู้รับ พอทานอาหารด้วยกัน ก็คือการทำบทบาทของการให้และรับ สัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันและกัน

ในสังคมปัจจุบันของเรา สภาพของผู้ให้และผู้รับเริ่มหายากมากขึ้นทุกที คุณลองเดินไปบนท้องถนน และทักคนแปลกหน้าว่า ดีใจจังที่เห็นคุณวันนี้ เขาจะรีบปฏิเสธทันทีว่า ไม่รู้จักคุณ และไม่อยากจะให้คุณดีใจที่เจอเขา เพราะคนในสังคมต่างกลัวกันและกัน รู้สึกไม่ปลอดภัย ระแวงกันและกัน หรือบางทีก็จะมองว่า มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทักแบบนี้

หากคุณอยู่ในครอบครัว ในบ้านเดียวกัน ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ คนในบ้านก็จะหาว่าวันอากาศร้อนไปหรือเปล่า ทำไมถึงทำดีกับพวกเขา เพราะสังคมที่พวกเขาเจอข้างนอก มันมีแต่รับไม่มีให้ หรือถ้าจะให้ก็เพื่อจะได้รับ คือสังคมแลกเปลี่ยน ยื่นหมูยื่นแมวกัน ไม่มีใครอยากจะเสียเปรียบ  ข้าพเจ้าได้ฟังคุณพ่อท่านหนึ่งถามลูกสาวว่า สามีของลูกสาวเขาเป็นญาติ เป็นพ่อ เป็นแม่ของลูกสาวหรือ ทำไมจะต้องยอมให้สามีสับโขก ใช้อย่างกับทาส ด่าคำหยาบๆคายๆด้วย เลิกเป็นผู้ให้ได้แล้ว หยุดบทบาทการเป็นผู้ให้ได้แล้ว  จะมีใครคิดว่า สามีของผู้หญิงคนนี้กำลังป่วยอยู่ เขาต้องการความช่วยเหลือ และคนที่จะทำบทบาทผู้ให้ได้ดีที่สุดก็คือภรรยาของเขานั่นเอง แต่ภรรยาจะทำบทบาทผู้ให้อย่างเดียวโดยไม่เป็นผู้รับเลย (รับการเสริมสร้างให้เข้มแข้ง อดทน และมีความรักมากเป็นพิเศษ ) ยากที่จะทำบทบาทผู้ให้สำเร็จ มีแต่จะเลิกเป็นผู้ให้

นี่คือความจำเป็นที่คริสตจักรของพระเจ้าจะเป็นต้นแบบของการเป็นผู้รับเพื่อเป็นผู้ให ผ่านของประทานห้าอย่าง  อัครทูต ผู้ประกาศ ผู้เผยพระวจนะ ศิษยาภิบาลและอาจารย์ ของประทานห้าอย่างนี้จะเสริมสร้างให้เราทุกคนไปถึงจุดหมายได้ คือเป็นอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงสอน ของประทานห้าอย่างอยู่ท่ามกลางเราแล้ว อย่ามองของประทานห้าอย่างเป็นตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้เราหลงทิศทางและติดอยู่กับบุคคลคนใดคนหนึ่ง  ความจริง ของประทานห้าอย่างอยู่ท่ามกลางเรา เราจะพบการหนุนใจ การประกาศ ถ้อยคำเปิดเผยจากพระเจ้าผ่านพี่น้องรอบข้าง เราจะได้รับการเลี้ยงดูจากผู้เลี้ยงดุจเลี้ยงแกะ เราจะพบคำสอนจากชีวิตการเป็นพยานชีวิตของแต่ละคน  นี่คือการเสริมสร้างให้เราเชื่อมต่อกันและกันที่แท้จริง

เพราะฉะนั้น การเป็นผู้รับเพื่อเป็นผู้ให้ จะเกิดได้เมื่อเรามาโบสถ์อย่างสม่ำเสมอ ใช้เวลาด้วยกัน ในกลุ่มเซลล์ รับใช้ร่วมกัน ออกประกาศด้วยกัน อธิษฐานด้วยกันทุกวัน ผ่านไลน์ ผ่านอุปกรณ์สื่อสาร พบปะกันระหว่างสัปดาห์  จงมาเป็นผู้รับเพื่อเป็นผู้ให้ ซึ่งมีสนามแห่งการรับอยู่ที่นี่แล้ว

1.ด้วยการร่วมรับใช้เพื่อพระเจ้า 1โครินธ์ 3:9ก

9 เพราะ​ว่า​เรา​ทั้ง​หลาย​ร่วมกัน​ทำงาน​เพื่อ​พระ​เจ้า

เราคงเคยได้ยินคำว่า On the Job training  แปลว่า ทำงานไปรับการฝึกฝน นี่คือบทบาทของการเป็นผู้รับเพื่อเป็นผู้ให้  คริสตจักรเรามีช่องทางการร่วมรับใช้กับศิษยาภิบาล เพื่อทำให้เติบโต และค้นพบของประทานห้าอย่างในท่ามกลางพวกเรา เส้นทางชีวิตคริสเตียน เริ่มต้นตั้งแต่ เป็นผู้สนใจ จนกลายเป็นผู้เชื่อ และจากผู้เชื่อใหม่ อย่าปล่อยให้ตนเองกลายเป็นผู้เชื่อเก่า เพราะจะเก่าลายครามจนใช้การไม่ได้ แต่จงเป็นผู้เชื่อใหม่ตลอดเวลา ผู้เชื่อใหม่ตลอดเวลาจะกระตือรือร้น ร้อนรน อยากรู้จักพระเจ้าผ่านทุกกิจกรรมที่คริสตจักรจัดให้ ผ่านการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ ออกประกาศ แนะนำคนให้รู้จักพระเยซูผ่านชีวิตของตนเอง พัฒนาการเหล่านี้ทำให้ผู้เชื่อใหม่ตลอดเวลา  เติบโต เป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ มีความคิดอย่างพระเยซู ดำเนินชีวิตอย่างพระเยซู เหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวัน เป็นผู้รับเพื่อเป็นผู้ให้ในเวลาเดียวกัน  การร่วมรับใช้กับศิษยาภิบาล คือการรับบทบาทของการให้เวลา ให้ความใส่ใจต่อลูกแกะ คือผู้เชื่อใหม่ที่เพิ่งมารู้จักกับพระเจ้า เป็นพี่เลี้ยง จากดูแลคนหนึ่งมาเป็นหลายคน ฝึกผู้เชื่อให้เป็นผู้เลี้ยงคนอื่น นี่คือพัฒนาการเติบโตเป็นหัวหน้าเซลล์ จากหนึ่งเซลล์เป็นหลายเซลล์ก็กลายเป็นหัวหน้าหน่วยโดยอัตโนมัติ การร่วมรับใช้กับศิษยาภิบาล ทำให้เกิดแรงกระทบในวงกว้างออกไป แล้วเราจะมองเห็นของประทานห้าอย่างในเวลาเดียวกันเกิดขึ้น ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ มัทธิว28:19-20 19 เหตุ​ฉะนั้น​เจ้า​ทั้ง​หลาย​จง​ออกไป​สั่ง​สอน​ชน​ทุก​ชาติ ให้​เป็น​สาวก​ของ​เรา ให้​รับ​บัพติศมา​ใน​พระ​นาม​แห่ง​พระ​บิดา ​พระ​บุตร​และ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​20 สอน​เขา​ให้​ถือ​รักษา​สิ่ง​สารพัด​ซึ่ง​เรา​ได้​สั่ง​พวก​เจ้า​ไว้ นี่​แหละ​เรา​จะ​อยู่​กับ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​เสมอ​ไป จนกว่า​จะ​สิ้น​ยุค” พระคัมภีร์ตอนนี้กล่าวถึงกิจการที่ของประทานห้าอย่างรวมอยู่ในตอนนี้  มีทั้งบทบาทของอัครทูต ผู้ประกาศ ที่ออกไปสู่คนมากมาย มีบทบาทของศิษยาภิบาล อาจารย์ และผู้เผยพระวจนะ คือการสถิตอยู่ด้วยของพระเยซูในท่ามกลางผู้เชื่อ พระเยซูทรงทำบทบาทผู้เผยพระวจนะ ยอห์น 17:8  8 เพราะ​ว่า​พระ​ดำรัส​ที่​พระ​องค์​ตรัส​ประทาน​ให้แก่​ข้า​พระ​องค์​นั้น ข้า​พระ​องค์​ได้​ให้​เขา​แล้ว และ​เขา​ได้รับ​ไว้ และ​เขา​รู้​แน่​ว่า​ข้า​พระ​องค์​มา​จาก​พระ​องค์ และ​เขา​เชื่อ​แล้ว​ว่า​พระ​องค์​ได้​ทรง​ใช้​ข้า​พระ​องค์​มา​ การรับใช้ร่วมกับศิษยาภิบาล จะทำให้พี่น้องมองเห็นบทบาทของการเป็นผู้ให้อย่างชัดเจน และเป็นผู้รับอย่างมีประสิทธิภาพ มิใช่การรับเพื่อประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว แต่รับเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม คือรับเพื่อเสริมสร้างคนรอบข้าง ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา มีส่วนให้และรับต่อเราทั้งสิ้น เราจะหยุดมุมมองอย่างชาวโลกที่อยู่เพื่อรับ ก็ต่อเมื่อเราได้อยู่ใน On the job training  ของการเป็นผู้รับเพื่อจะเป็นผู้ให้ นั่นคือรับการเสริมสร้าง เพื่อจะทำให้คริสตจักรจำเริญขึ้น  นั่นคือการรับใช้ร่วมกับศิษยาภิบาล วันนี้ ท่านรับใช้ร่วมกับใครอยู่ กำลังทำงานร่วมกับพระเจ้าหรือกับมนุษย์ 9 เพราะ​ว่า​เรา​ทั้ง​หลาย​ร่วมกัน​ทำงาน​เพื่อ​พระ​เจ้า

2.ด้วยการต่อยอดบนฐานศิลามั่นคง   1โครินธ์ 3:9ข

ท่าน​ทั้ง​หลาย​เป็น​ไร่​นา​ของ​พระ​เจ้า และ​เป็น​ตึก​ของ​พระ​องค์

พระคำตอนนี้กล่าว่า เราเป็นไร่นา เป็นตึกของพระเจ้า สิ่งที่แสดงว่าเราเป็นของพระเจ้าจริง  คือรากฐาน และสิ่งที่ฝังอยู่ในพื้นที่ของชีวิตเรา เรายังดำเนินชีวิตภายใต้อิทธิพลของอิฐก้อนร้าว  หรืออิฐก้อนใหม่ คือพระเยซูคริสต์เจ้า อิฐก้อนร้าวทำให้เราแสวงหาแต่การที่จะรับอย่างเดียว ให้ไม่ได้ ไม่ยอมให้ ไม่ยอมสูญเสีย ไม่มีทางที่จะให้ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ให้

ถ้าเราสังเกตคนทั่วไป เราจะพบว่า คนไม่น้อยมีอาณาเขตของตนเอง ที่เรียกว่า Safety zone อาณาเขตปลอดภัย ห้ามล่วงล้ำ บางคนมีอาณาเขตอย่างนี้ คือสามครั้งเท่านั้น คนไทยชอบจำนวนสามครั้ง คือให้โอกาสสามครั้ง ผิดมากกว่านี้ไม่ต้องมาคุยกัน นี่คือไม่สามารถให้โอกาสแก่คนมากกว่านั้น  นี่คืออาณาเขตของการให้ที่จำกัด อาจจะ เพราะตนเองไม่เคยได้รับโอกาสมากกว่าสามครั้ง แต่เรามาดูพระคัมภีร์กล่าวถึงการที่พระเจ้าทรงให้โอกาสแก่คนบาปกี่ครั้ง พระเยซูตรัสว่า มัทธิว 12:21-22  21 ขณะนั้น​เปโตร​มา​ทูล​พระ​องค์​ว่า “​พระ​องค์​เจ้า​ข้า หาก​พี่​น้อง​ของ​ข้า​พระ​องค์​จะ​กระทำ​ผิด​ต่อ​ข้า​พระ​องค์​เรื่อยไป ข้า​พระ​องค์​ควร​จะ​ยก​ความ​ผิด​ของ​เขา​สัก​กี่​ครั้ง ถึง​เจ็ด​ครั้ง​หรือ”22 ​พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​เขา​ว่า “เรา​มิได้​ว่า​เพียง​เจ็ด​ครั้ง​เท่านั้น แต่​เจ็ด​ครั้ง​คูณ​ด้วย​เจ็ด​สิบ แปลว่า ไม่จำกัดจำนวนครั้ง  อิสยาห์ 43:25  25 “เรา เรา​คือ​พระ​องค์​นั้น ผู้​ลบ​ล้าง​ความ​ทรยศ​ของ​เจ้า​ด้วย​เห็น​แก่​เรา​เอง และ​เรา​จะ​ไม่​จดจำ​บรรดา​บาป​ของ​เจ้า​ไว้  วันนี้ เรากำลังต่อยอดบนศิลาคือพระเยซูคริสต์หรือกำลังต่อยอดชีวิตบนอิฐก้อนร้าว ถ้าเราต่อยอดบนพระเยซูคริสต์ เราจะไม่จดจำความผิดของคนอื่นอีก เราจะมีความมั่นคงยิ่งขึ้นในชีวิต เราจะมีเสรีภาพที่จะให้อภัยคนได้ง่ายๆ ให้โอกาสคนได้ง่ายๆ ไม่ต้องรอเขามาขอโทษ เราก็ให้อภัยได้ ไม่ต้องรอเขาแก้ไขตนเอง เราก็รับเขาได้ เรากำลังเป็นไร่นา และเป็นตึกของพระเจ้า หรือเรากำลังสร้างอาณาจักรของตนเองบนอิฐก้อนร้าว ขอพระเจ้าทรงสำแดงให้เรามองเห็นความจริงว่าเรากำลังต่อยอดบนอิฐก้อนใด ถ้าบนอิฐก้อนร้าว ก็จงยอมรับความจริงที่จะเปลี่ยนจากอิฐก้อนร้าวมาที่พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้เป็นศิลา พระเยซูทรงตรัสว่า มัทธิว 16:18-19  18 ฝ่าย​เรา​บอก​ท่าน​ว่า​ท่าน​คือ​เปโตร​​ และ​บน​ศิลา​นี้ เรา​จะ​สร้าง​คริสตจักร​ของ​เรา​ไว้ และ​พลัง​แห่ง​ความ​ตาย​จะ​มี​ชัย​ต่อ​คริสตจักร​นั้น​หา​มิได้​19 เรา​จะ​มอบ​ลูก​กุญแจ​แผ่นดิน​สวรรค์​ให้​ไว้​แก่​ท่าน ท่าน​จะ​กล่าว​ห้าม​สิ่ง​ใด​ใน​โลก สิ่ง​นั้น​ก็​จะ​ถูก​กล่าว​ห้าม​ใน​สวรรค์ เมื่อ​ท่าน​จะ​กล่าว​อนุญาต​สิ่ง​ใด​ใน​โลก สิ่ง​นั้น​จะ​กล่าว​อนุญาต​ใน​สวรรค์​ด้วย”  นื่คือความมั่นคงที่พระเยซูทรงย้ำว่าจะเกิดขึ้นกับคริสตจักรของพระองค์อย่างแท้จริง เป็นผู้รับที่จะให้ด้วยสิทธิอำนาจจากฟ้าสวรรค์อย่างแท้จริง

 “เป็นผู้รับเพื่อเป็นผู้ให้ด้วยสิทธิอำนาจ”

1.ด้วยการร่วมรับใช้เพื่อพระเจ้า

2.ด้วยการต่อยอดบนฐานศิลามั่นคง 

By admin