“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…เดินตามการนำของพระเจ้า”
มีเพลงเพื่อชีวิต “คนกับหมา” ของพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เนื้อเพลงได้กล่าวถึง ชีวิตมีแต่หมานำ เดินตามหมาเดิน ต้องสร้างสัมผัสจำเป็นเหนือกฏเกณฑ์คนธรรมดา เลือกไม่ได้ เกิดมาพร้อมกับสังขารที่ไม่สมประกอบ คือตาบอด อาศัยและพึ่งพาดวงตาของหมา ชีวิตมีแต่หมาพาไป มีแต่หมานำทาง ฟังเพลงนี้แล้วทำให้มองเห็นชีวิตของคนตาบอดไม่มีทางเลือก สำหรับคนตาดี เวลาเราจูงหมา เราจะไม่ปล่อยให้หมานำ เราจะนำหมา จะเห็นว่า แม้จะเกิดการยื้อฉุดกระชาก แต่สุดท้าย เรายังคงนำหมา มิใช่ให้หมานำ มีวีดีโอหมาตัวโตจูงโดยเด็ก กำลังของหมามากกว่าก็ลากเด็กไป นี่คือหมานำอีกแบบ แบบใช้กำลัง
บางคนพอต้นเดือน กลางเดือน ไม่เป็นอันทำอะไร เฝ้ารอการนำของสิ่งที่เป็นตัวเลข เรียกว่าอะไร….หวย อันนี้ก็ให้หวยนำ
ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ประหลาด สารพัดที่จะเอามาตีเป็นตัวเลขเด็ด ทะเบียนรถ วันเกิด วันตาย ก็เอามาตีความ
มีชาวบ้านได้เดินทางมาจุดธูปขอโชคลาภที่บริเวณดังกล่าวต้องมีโทรศัพท์ที่ใช้ถ่ายรูปได้ แล้วใช้โทรศัพท์เดินถ่ายรูปกันไปโดยรอบๆ ต้นข่อยและต้นตะโกนา หากดูในระยะไกลจะคล้าย กับเกมตามล่าหาโปเกม่อนที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ อันนี้เรียกว่า ความโลภนำ
โปเกมอน โก ที่กำลังฮิตในท่ามกลางคนไทย คนไทยกำลังให้โปเกม่อนนำ คุณรู้ไม๊ว่า โปเกมอน แปลว่า อะไร กระเป๋าของปีศาจ Pocket monster แนวคิดของเกมคือให้คนเดินตามตัวละครในเกม และตามล่า สะสม และต่อสู้ เพื่อเป็น ยิมลีดเดอร์ (นักฝึกผู้ทรงพลัง 8 คน) เพื่อเป็นนักฝึกผู้มีพรสวรรค์ 4 คน (จตุรเทพ) แล้วไปถึงการต่อสู้เพื่อชนะนักฝึกจตุรเทพ ก็จะกลายเป็นแชมเปียน คือเป็น โปเกม่อนมาสเตอร์คนต่อไป (แชมป์) เนื้อหาของเกมมีแค่นี้
ด้านสุขภาพ มีเกมโปเกม่อนเวอร์ชั่นหนึ่งทำให้เด็กญี่ปุ่นถูกส่งเข้าโรงพยาบาลเพราะเป็นลมชัก 700 คน ในปี 1997
มีอะไรอีกที่เรายอมให้มานำชีวิตของเรา ในด้านอารมณ์ สุขภาพจิต สุขภาพร่างกาย หรือแม้แต่จิตวิญญาณ ความเชื่อแบบแปลกๆ
มีพี่น้องส่งคลิปวีดีโอการพูดของวิทยากรชาวไทยคนหนึ่งที่ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้านไอทีของบ้านเรา ในคำที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลง หรือการนำของระบบไอทีของโลกกำลังนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ทุกคน สรุปเนื้อหาสาระที่วิทยากรคนนี้พูด คือ อีก 2 ปี ธนาคารเจ๊ง!! ห้างใหญ่ล้ม!! ลูกจ้างตกงาน!! โลกเรากำลังจะเปลี่ยน ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนอีก2ปี โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน คุณต้องเปลี่ยน หากคุณไม่เปลี่ยน เขาจะเปลี่ยนคุณ
นี่คือความหมายที่แปลว่า เรากำลังให้อะไรนำเราอยู่ โลกนี้กำลังให้วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่วางอยู่บนหลักความโลภ ความอยากของมนุษย์มาออกแบบชี้นำให้มนุษย์เดินตาม เราจะอยู่อย่างไร คนที่เป็นวิทยากรพูดประโยคหนึ่งน่าสนใจมาก เขาพูดว่า “ผมไม่รู้ว่าเรากำลังต่อสู้อยู่กับอะไร” ไม่สามารถรู้ว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงในเชิงล่มสลายหายไปของอาชีพ ของงาน แม้แต่ความเป็นปัจเจกบุคคล ต่างถูกโลกอินเตอร์เน็ตชี้นำ พูดอย่างภาษาชาวบ้านว่า เรากำลังถูกเปลี่ยนไปเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา ความเป็นตัวเรากำลังจะกลายพันธ์เป็นสปีชี่ใหม่แบบตัวละครในเกมโปเกม่อน?
เมื่อก่อนเรามีคำพูดว่า สถานการณ์พาไป แต่ตอนนี้ ธุรกิจเกมกำลังพาผู้คนไป และวิทยากรได้กล่าวถึงธุรกิจเกมส์กำลังทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเวลานี้ เราซึ่งเป็นคริสเตียน เราต้องให้พระเจ้าเป็นผู้พาเราไป มิใช่ให้อิทธิพลของโลกพาเราไป พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงชีวิตของคนๆหนึ่งที่ยังยืนหยัดในการให้พระเจ้าทรงนำ ในขณะที่สภาพแวดล้อม หรือเรียกว่า โลกของเขาเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่กำลังผลักดันให้เขาเปลี่ยน ถ้าไม่ไป เขาจะเป็นคริสเตียนต่อไปไม่ได้ โลกของคริสเตียนเมื่อสองพันปีที่แล้วเป็นโลกของการข่มเหงคริสเตียน แต่โลกของคริสเตียนในยุคของเราวันนี้ เป็นโลกของการหลอกลวงคริสเตียน ซึ่งการตอบสนองของคริสเตียนที่จะยืนหยัดมั่นคงในพระวจนะและประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ เราจะรับมืออย่างไร เราจะมาเรียนรู้วิธีรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากคริสเตียนยุคแรกที่ได้ชื่อว่า
1.ผู้เปลี่ยนโลก กิจการ 8:1,4-8
…คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครทูตได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย…4 ฝ่ายศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไป ก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น5 ส่วนฟีลิปก็ไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง6 ประชาชนก็พร้อมใจกันฟังถ้อยคำที่ฟีลิปได้ประกาศ เพราะเขาได้ยินท่านพูด และได้เห็นหมายสำคัญซึ่งท่านได้กระทำนั้น7 ด้วยว่าผีโสโครกที่สิงอยู่ในคนหลายคนได้พากันร้องด้วยเสียงดัง แล้วออกมาจากคนเหล่านั้น และคนที่เป็นโรคอัมพาตกับคนง่อยก็หายเป็นปกติ8 จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น
ฟิลิป ไม่ใช่ฟิลิปอัครทูตสิบสองคน แต่คือมัคนายหนึ่งในเจ็ดคนที่ถูกคัดเลือกออกมารับใช้ด้วยคุณลักษณะชีวิตที่เด่นชัด
กิจการ 6:3-5 3 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายจงเลือกเจ็ดคนในพวกท่าน ที่มีชื่อเสียงดีประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งเขาให้ดูแลการงานนี้4 ฝ่ายพวกเราจะขะมักเขม้นอธิษฐาน และรับใช้พระเจ้าในพันธกิจแห่งพระวจนะเสมอไป”5 คนทั้งหลายเห็นชอบกับคำนี้ จึงเลือกสเทเฟนผู้ประกอบด้วยความเชื่อและพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปารเมนัส และนิโคเลาส์ชาวเมืองอันทิโอกซึ่งเป็นผู้เข้าจารีตฝ่ายศาสนายิว
งานรับใช้ที่ฟิลิปทำคือการแจกทาน แจกอาหารแก่บรรดาผู้เชื่อทั้งคนต่างชาติ และคนยิว หลังจากสเทเฟนตาย ก็เกิดการข่มเหงคริสเตียนในกรุงเยรูซาเล็ม สาวกเจ็ดสิบคน และร้อยยี่สิบคน ยกเว้นอัครทูตสิบเอ็ดคน ต้องหนีกระจัดกระจายออกนอกกรุงเยรูซาเล็ม ออกไปที่แคว้นยูเดียและสะมาเรียซึ่งถือว่าเป็นบ้านนอก เมืองห่างไกลออกไป ฟิลิปเป็นคนหนึ่งที่ต้องหนีด้วย และฟิลิปได้หนีไปที่สะมาเรีย ก่อนหน้านี้ สะมาเรียคือเมืองที่พระเยซูเคยประกาศ กับหญิงที่บ่อน้ำ และชาวเมืองก็พากันมาหาพระเยซู ฟิลิปถูกสถานการณ์การข่มเหงความเป็นสาวกของพระเยซูของเขา สถานการณ์ในกรุงเยรูซาเล็มทำให้ไม่สามารถประกาศตัวการเป็นสาวกของพระเยซู แต่การข่มเหงไม่สามารถทำลายความเป็นสาวกของพระเยซูในชีวิตของฟิลิปได้ ดังนั้น เมื่อเขาไปยังสะมาเรีย ฟิลิปยังสำแดงชีวิตที่เป็นสาวกของพระเยซู และที่นี่ คือการต่อยอดจากที่พระเยซูได้หว่านพระวจนะของพระเจ้าไว้ก่อนแล้ว
4 ฝ่ายศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไป ก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น
คำที่พระคัมภีร์บันทึกตอนนี้ ว่า ประกาศพระวจนะ Logos โลกอส พระวจนะในที่นี้หมายถึงอะไร หนังสือยอห์นได้กล่าวถึงพระเยซูโดยใช้คำว่า Logos พระวาทะมาบังเกิด คือพระเยซู บรรดาศิษย์ที่กระจัดกระจายเพราะการข่มเหง พวกเขาไปพร้อมกับพระวจนะที่เป็นชีวิต (สำเร็จแล้ว) คือพระเยซูคริสต์
5 ส่วนฟีลิปก็ไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง
การประกาศพระวจนะก็คือการประกาศพระคริสต์นั่นเอง พระคัมภีรืได้บันทึกว่า นอกจากฟิลิปจะยืนหยัดความเชื่อของเขา และรักษาสถานการเป็นสาวกของพระเยซูด้วยการประกาศว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาที่มาแล้วตามคำพยากรณ์ พระคัมภีร์ยังบันทึกว่า ประชาชนฟังฟิลิป เพราะ ...เขาได้ยินท่านพูด และได้เห็นหมายสำคัญซึ่งท่านได้กระทำนั้น
ฟิลิปได้พูดให้คนฟัง ถ้าไม่พูด คนจะไม่ฟัง เราทั้งหลายซึ่งเป็นคริสเตียน เราไม่ค่อยยอมพูด เราเงียบ เราคิดว่าคนจะไม่ฟังเรา เราคิดว่า สิ่งที่เราควรจะพูด เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ต้องรอสถานการณ์พาไป วันนี้ มีหลายคนในท่ามกลางเราเงียบ แท้ที่จริง การไม่พูด ไม่เป็นพยานของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของพวกเรา ก็คือการปล่อยให้สถานการณ์ของการข่มเหงรูปแบบแอบแฝงพาเราไปให้เราเงียบ ไม่พูด ไม่เป็นพยาน เราปล่อยให้เรื่องของปากท้องความอยู่รอด การดิ้นรนในสังคมพาเราไป ให้เราเงียบเรื่องพระเยซู แต่พูดเสียงดังเรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสารพัดที่กระแสของโลกกำลังผลักเราไป
แต่เราจะเห็นว่า คริสเตียนยุคแรกอย่างฟิลิป ไม่เงียบ และเมื่อเขาไม่เงียบ อะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าเชื่อว่า การไม่เงียบของฟิลิปนำไปสู่หมายสำคัญ การอัศจรรย์ผ่านชีวิตของฟิลิป
พี่น้อง การประกาศ เป็นพยานเพื่อพระเยซูคริสต์คือการเปิดประตูให้กับหมายสำคัญและการอัศจรรย์เกิดขึ้นในชีวิตของเรา สาวกของพระเยซูในยุคแรกถูกขนานนามว่า ผู้เปลี่ยนโลก พวกเขาไม่ได้ถูกสถานการณ์เปลี่ยน แต่พวกเขากลับเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงโลก และคนรอบข้าง
7 ด้วยว่าผีโสโครกที่สิงอยู่ในคนหลายคนได้พากันร้องด้วยเสียงดัง แล้วออกมาจากคนเหล่านั้น และคนที่เป็นโรคอัมพาตกับคนง่อยก็หายเป็นปกติ8 จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น
ผีโสโครก วิญญาณชั่ว ในยุคนั้นทำให้คนหมดอิสรภาพ เป็นทาส เป็นอัมพาต ง่อย ป่วย การพูดเรื่องพระเยซูของฟิลิป (คนธรรมดา) ได้เปลี่ยนบรรยากาศที่น่าเศร้าให้กลายเป็นความชื่นชมยินดี ฟิลิปหนีการข่มเหง(อิทธิพลในเวลานั้นที่พยายามเปลี่ยนเขา) แต่ฟิลิปไม่ยอม เขายังคงยืนหยัดที่จะเป็นผู้เปลี่ยนโลก อย่างที่พระเยซูได้เป็นต้นแบบให้กับเขา และเขาทำสำเร็จ เหมือนกับสาวกอีกหลายๆคนทำสำเร็จ และส่งต่อข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์มาถึงเราในวันนี้
แล้วเราในทุกวันนี้ เรากำลังถูกสถานการณ์ (ธุรกิจเกมส์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกของเราในเวลานี้) กำลังผลักดันให้เราเปลี่ยน เรากำลังหนี หรือกำลังถูกเปลี่ยน วันนี้ เราไม่ต้องหนีด้วยระยะทาง แต่เราต้องหนีด้วยระยะของจิตใจ และความคิดให้ออกห่างจากอิทธิพลเหล่านี้ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าที่มีความคิด มีสติ มีความรู้เรื่องไอทีระดับต้นๆของเมืองไทย ยังพูดประโยคว่า ผมไม่รู้ว่า เรากำลังสู้อยู่กับอะไร (แสดงให้เห็นถึงความกลัว และไม่รู้ว่าจะหนีออกจากสิ่งนี้ที่ใกล้ตัวมากได้อย่างไร)
โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน คุณต้องเปลี่ยน หากคุณไม่เปลี่ยน เขาจะเปลี่ยนคุณ สำหรับคริสเตียน เราถูกกำหนดไว้ให้เป็นผู้เปลี่ยนโลก ภายใต้การนำของพระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ฟิลิปอยู่ภายใต้การนำของพระเจ้า เขาจึงกลายเป็นผู้เปลี่ยนโลกรอบข้างเขาในเวลานั้น
2.ผู้รู้ว่าใครคือทูตของพระเจ้า กิจการ 8:26-28
26 แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา” (ซึ่งเป็นทางเปล่าเปลี่ยว)27 ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป และดูเถิดมีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสีพระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ได้มานมัสการในกรุงเยรูซาเล็ม28 ขณะนั่งรถกลับไป ท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่
จนถึงวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่า ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้สั่งฟีลิป มาในรูปแบบไหน เป็นทูตสวรรค์มิคาเอล หรือทูตสวรรคกาเบรียล (โดยปกติพระคัมภีร์จะระบุชื่อทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมาพบกับคนที่พระเจ้าจะสื่อสาร) แต่คำว่า ทูตของพระเจ้า ตรงนี้ใช้สำนวนเดียวกันกับที่พระเจ้าส่งมาให้สื่อสารกับคนในสมัยพระคัมภีร์เดิมบางคน อาจมาในลักษณะของคนอย่างที่อับราฮัมได้ต้อนรับอย่างแขกแปลกหน้า แต่ต้อนรับเหมือนต้อนรับพระเจ้า และคนเหล่านั้นได้ให้ถ้อยคำชี้นำบางอย่าง หรืออย่างทูตที่ไปช่วยโลท ฉุดกระชากลากโลทและคนในครอบครัวให้ออกจากเมืองโสโดม โกโมราห์ ที่กำลังจะพินาศด้วยไฟกำมะถัน
วันนี้ อาจมีคนบางคนกำลังทำหน้าที่ทูตของพระเจ้าเพื่อจะชี้นำให้เราไปในทิศทางที่ปลอดภัย และในการรับใช้ก็ได้ เรากำลังให้พระเจ้านำเพื่อตอบสนอง หรือเรากำลังให้อิทธิพลของโลกนี้นำ เรารู้หรือไม่ว่าใครคือทูตของพระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อว่า ถ้าเราใส่ใจในการนำของพระเจ้า เราจะรู้ได้ว่าใครคือผู้สื่อสารของพระเจ้าที่มาถึงเรา
ฮีบร13:1-2 1 จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อกันเสมอไป2 อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว
ความรักฉันพี่น้อง Brotherly love คือสิ่งที่พระธรรมฮีบรูกำลังบอกเราว่า เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราสามารถต้อนรับคนแปลกหน้า หรือคนที่เราไม่เคยรักได้ ในคำเทศนาที่ผ่านมา หัวข้อหนึ่งที่ข้าพเจ้าเทศนาคือ การเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น เราต้องเพิ่มพื้นที่หัวใจให้กว้างขึ้น
2เปโตร 1:5-8 5 เพราะเหตุนี้เอง ท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม6 เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาขันตีเพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน และเอาธรรมเพิ่มขันตี7 เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มธรรม และเอาความรักคนทั่วไปเพิ่มความรักฉันพี่น้อง 8 ถ้าท่านทั้งหลายเพียบพร้อมด้วยของประทานเหล่านี้แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านเกิดประโยชน์ และเกิดผลที่ได้ซาบซึ้งในพระเยซูคริสตเจ้าของเรา
คำที่เปโตรใช้คำว่า “เพิ่ม” มาจากรากศัพท์แปลว่า ยกขึ้น แข็งแรงขึ้น (ด้วยกำลังอย่างผู้ชาย) เราจะพบว่า พื้นที่ที่ต้องการให้เพิ่มขึ้น ได้แก่
1.1 ความเชื่อ จะต้องเข้มแข็งขึ้น ด้วยการเสริมด้วยคุณธรรม (ความดีงาม)
1.2 คุณธรรม จะต้องเข้มแข็งขึ้นด้วยการเสริมด้วยการเสริมด้วยความรู้ (ของพระเจ้า)
1.3 การรู้ (ของพระเจ้า)จะต้องเข้มแข็งขึ้นด้วยการเสริมด้วยความเหนี่ยวรั้งตน (การควบคุมตนเอง)
1.4 การควบคุมตนเอง จะต้องเข้มแข็งขึ้นด้วยการเสริมด้วยขันติ (ความอดกลั้น)
1.5 การอดกลั้น จะต้องเข้มแข็งขึ้นด้วยการเสริมด้วย ความยำเกรงพระเจ้า
1.6 ความยำเกรงพระเจ้า จะเข้มแข็ง ด้วยการเสริมด้วยความรักฉันท์พี่น้อง
1.7 และความรักฉันท์พี่น้อง จะเข็มแข็ง ด้วยการเสริมด้วยความรักคนทั่วไป (การทำดี ทำกุศลกับคนอื่นๆ)
การจะรู้ว่า ใครคือทูตของพระเจ้า เราต้องไม่ตั้งธงปฏิเสธ ซึ่งคนในยุคของเรากำลังเป็นแบบนั้น เราปล่อยให้ความกลัวมาทำให้เรามีความคิดหวาดระแวง ขาดความรอบคอบในการเผชิญหน้ากับคนทุกประเภท จนเราพลาดที่จะเรียนรู้จักการได้พบกับทูตของพระเจ้า
เกมโปเกม่อน คือหนึ่งในหลายๆเกมที่กำลังสอนเราให้ล่า และต่อสู้เพื่อจะชนะและเป็นแชมเปี้ยนในวิถีที่เรียกว่า กระเป๋าของมาร มีคริสเตียนที่ไร้เดียงสาบางคนพูดว่า ทำไมเราไม่ประกาศกับมารให้มารกลับใจ ขอบอกว่า มารไม่มีทางกลับใจ มารกำลังรอวันพิพากษาเท่านั้น แต่มนุษย์คือผู้ที่จะกลับใจได้ เราต้องประกาศกับมนุษย์ ฟิลิปรู้ว่า ใครคือทูตของพระเจ้า ฟิลิปจึงได้ประกาศกับขันทีเอธิโอเปีย เพราะขันทีคนนี้ กำลังอยากรู้ว่า ใครคือคนที่พระวจนะของพระเจ้าที่เขากำลังอ่านอยู่
3.ผู้มีความชัดเจนในข่าวประเสริฐของพระเยซู กิจการ 6:34-38
34 ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวอย่างนั้นเล็งถึงผู้ใด เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าเถิด”35 ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มเล่าจับต้นกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู36 ครั้นกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “นี่แน่ะ มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา”37 และฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” และขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า”38 แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถ และคนทั้งสองลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปก็ให้ท่านรับบัพติศมา
เมื่อฟิลิปไปในสถานที่ที่เขาไม่รู้ว่าจะได้พบใคร เขาตอบสนองทันที และเมื่อเขาอยู่ในสถานที่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสสั่งอีกว่า ให้วิ่งไปใกล้ชิดรถ จะเห็นว่า ฟิลิปไปตามการทรงนำของพระเจ้า ทั้งผ่านคน และตอนนี้ผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนฟิลิปได้เข้าไปนั่งในรถคันเดียวกันกับขันที
กิจการ 6:29-31 29 ฝ่ายพระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปให้ชิดรถนั้นเถิด”30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ จึงถามว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ”31 ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถกับท่าน
นี่คือโอกาสที่ฟิลิปจะได้พูดข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แก่ขันที
34 ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวอย่างนั้นเล็งถึงผู้ใด เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าเถิด”
35 ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มเล่าจับต้นกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู
ฟิลิปคนธรรมดาคนหนึ่งที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตด้วย ชื่อเสียงดีประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา การไปตามการนำของพรเจ้าทำให้ฟิลิปได้เข้าไปนั่งในรถคันเดียวกันกับขันที ผู้มีตำแหน่งสูง และเป็นที่ไว้วางใจของพระราชินีแห่งเอธิโอเปีย ไม่ง่ายเลย แทบจะเรียกว่า เป็นไปไม่ได้ แต่ภายใต้การนำของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่รักษาชื่อเสียงดี ในที่นี้ข้าพเจ้าตีความว่า น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ฟิลิปที่หนีการข่มเหงได้ ถ้าหนีไม่ได้ ก็ต้องอยู่ในคุกเหมือนกับคริสเตียนไม่น้อยที่ถูกเซาโลจับเข้าคุก แต่ฟิลิปนอกจากจะหนีได้ ยังได้นั่งในรถของข้าราชการผู้มีอำนาจในอีกประเทศ ไม่ธรรมดาสำหรับคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ดำเนินชีวิตภายใต้การนำของพระเจ้า ของพระวิญญาณ ของทูตสื่อสารของพระเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ในชีวิตการเป็นคริสเตียนของฟิลิป เขาเรียนรู้ที่จะมีความชัดเจนในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ในชีวิตของเรา ข่าวประเสริฐ แปลว่า ข่าวดี ข่าวดี สำหรับฟิลิป เป็นข่าวดีของคนรอบข้างด้วย เป็นข่าวดีที่ต้องประกาศ ไม่ใช่ข่าวลับที่ต้องเก็บไว้คนเดียว และสุดท้าย ฟิลิปได้เดินทางด้วยวิธีพิเศษ (ข้าพเจ้าอยากเดินทางแบบนี้จริงๆ)
39 เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปเสีย และขันทีนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความพอใจ40 แต่มีผู้พบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อเดินทางมา ท่านได้ประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมือง จนท่านมาถึงเมืองซีซารียา
ฟิลิปไม่ได้ตาย แต่เดินทางไปโดยการรับไปอยู่อีกที่หนึ่ง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มหัศจรรย์จริงๆ ชีวิตที่เดินตามการนำของพระเจ้า
โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน คุณต้องเปลี่ยน หากคุณไม่เปลี่ยน เขาจะเปลี่ยนคุณ คนมากมายกำลังเดินตามโลกและถูกโลกเปลี่ยน แต่คริสเตียนที่เดินตามการนำของพระเจ้า เขาคือผู้เปลี่ยนโลก คุณกำลังเดินตามการนำของอะไร
“สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์…เดินตามการนำของพระเจ้า”
1.ผู้เปลี่ยนโลก
2.ผู้รู้ว่าใครคือทูตของพระเจ้า
3.ผู้มีความชัดเจนในข่าวประเสริฐของพระเยซู