“สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้…อาจหลุดมือไป”
ยอห์น 14:27 27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย
ทำไมจึงต้องมีสันติสุข เพราะสันติสุขจะทำให้เราสามารถรักษาความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าเอาไว้ได้
บ่อยครั้งที่เรามักจะพบว่า ที่เรากำลังทำอะไรหลายอย่างวุ่นวายมากมาย กับภารกิจต่างๆ จนเมื่อมานั่งลงคิดให้ดี ว่าตนเองกำลังต้องการอะไร บางคนอาจตอบไม่ถูก หรือไม่มีคำตอบที่แน่ชัด และถึงกับอึ้งว่า ไม่รู้ว่าตนเอง กำลังต้องการอะไร เราอยู่ในยุคที่มีการกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดความต้องการมากมาย แต่จริงๆแล้ว เราอาจไม่ต้องการเลยก็ได้ และที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้มา เพียงเพราะแรงกระตุ้นจากโฆษณา คำบางคำ อารมณ์บางอารมณ์ ที่เราได้เข้าไปร่วมในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เราคงต้องมาสำรวจชีวิตของเราว่า เรากำลังมุ่งหน้า ก้าวต่อไปของชีวิต ด้วยกำหนดของอะไร จากไหน พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเป้าหมายของการเป็นคริสตจักร การเป็นคริสเตียน ไว้อย่างชัดเจนว่า
เอเฟซัส 4:14 14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
ในพระคัมภีร์ตอนนี้ กล่าวถึง ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปาก…. คำพูดที่ออกมาได้ทั้งคำสั่งสอน และด้วยการล่อลวง
เป็นเรื่องปกติ ที่เด็กจะต้องรับการสั่งสอน เพื่อให้เป็นผู้ใหญ่ แต่สิ่งที่ผิดปกติ คือ การล่อลวง ที่ไม่ใช่การสั่งสอน ซึ่งเด็กอาจรับเข้ามาในเวลาเดียวกัน
วิธีที่จะป้องกัน ก็คือ ต้องทำให้เด็กเติบโตทางความคิด เป็นผู้ใหญ่ ให้เร็วที่สุด (แม้ว่า ทางกายภาค ต้องใช้เวลา) ซึ่งกษัตริย์ดาวิดได้เขียนหนังสือสดุดีในบทที่ ยาวที่สุด สดุดี 119 ได้พรรณาเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ท่านเติบโตทางความคิด ในขณะที่ท่านเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น สิ่งนั้นก็คือ พระคำ พระวจนะ ธรรมบัญญัติ ข้อบังคับ กฏเกณฑ์ กฏหมาย ของพระเจ้า
สดุดี 119: 100, 99,98 100 ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าคนสูงอายุ เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์…99 ข้าพระองค์มีความเข้าใจมากกว่าบรรดาครูของข้าพระองค์ เพราะบรรดาพระโอวาทของพระองค์เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์… 98 พระบัญญัติของพระองค์กระทำให้ข้าพระองค์ฉลาดกว่าศัตรูของข้าพระองค์ เพราะพระบัญญัตินั้นอยู่กับข้าพระองค์เสมอ
ในวัยเด็กของเด็กชายดาวิด พ่อแม่ของเขา เป็นผู้เลือกสิ่งที่เด็กจำเป็นและต้องการ (สำคัญที่สุด) คือการวางรากฐานทางความคิดด้วยพระคำของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าทรงสั่งโมเสสไว้ว่า…
เฉลยธรรมบัญญัติ 6: 1-3 1 “ต่อไปนี้เป็นบัญญัติ กฎเกณฑ์และกฎหมายซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย ทรงบัญชาให้สอนท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้กระทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านจะข้ามไปยึดครองนั้น2 เพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านโดยรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านทั้งตัวท่านและบุตรหลานของท่าน ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของท่าน เพื่อว่าวันคืนของพวกท่านจะได้ยืนยาว3 โอ คนอิสราเอลทั้งหลาย เหตุฉะนั้นขอจงฟัง และจงระวังที่จะกระทำตามเพื่อพวกท่านจะไปดีมาดี และเพื่อท่านทั้งหลายจะทวีมากยิ่งนัก ในแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านได้ทรงสัญญากับท่าน
พระคัมภีร์เฉลยธรรมบัญญัตินี้ มีคำว่า วันคืน…ยืนยาว และ ไปดีมาดี หมายถึง มีสุขภาพที่ดี และประสบความสำเร็จในชีวิต (ทำอะไรก็สำเร็จ)
คำสอนของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ มีทั้งเรื่อง การกิน การอยู่ การใช้ชีวิต ที่มีจุดมุ่งหมาย ชัดเจนของการมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และการทำหน้าที่การงาน การบริหารทุกอย่างที่ครอบครองอย่างสมดุล เป็นผู้มีความสุขที่สุดที่แท้จริง
และนี่คือสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่อิสราเอลทั้งหลายจะปลูกฝังคำสอนนี้ไว้ในลูกหลานของตนเอง น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้คนของพระองค์ มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ ตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็ก (ทางกายภาค) พระเจ้าได้ให้เครื่องมือสำคัญคือพระวจนะของพระองค์ และคนอิสราเอลได้รับเครื่องมือนี้เป็นชนชาติแรก แต่เมื่อคนอิสราเอลล้มเหลวในการนำเครื่องมือนี้ส่งต่อไปให้กับชนชาติอื่นๆ พระเจ้าจึงใช้คริสตจักรของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องมือต่อไป พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า เราจะตั้งคริสตจักรของเรา
มัทธิว 16:18 18 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้
คริสตจักรที่พระเยซูทรงสร้าง เพื่อจะเปิดเผยสิ่งที่ต้องการ….มีสิ่งเดียว ไม่ใช่ไปกระวนกระวายทำหลายสิ่งมากมาย และสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับคริสตจักรเพื่อจะนำคริสตจักรไปถึงวัตถุประสงค์ เป้าหมายสูงสุดของการมีชีวิตอยู่ และรักษาชีวิต สังคมที่น่าอยู่อย่างไร ปรากฏในหนังสือเอเฟซัส
เอเฟซัส 4:11-16 11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว
สังคมที่น่าอยู่ที่สุด คือ ทุกคนเป็นผู้ใหญ่ (ในขณะที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่อยู่ร่วมกัน) คนที่อยู่ร่ววมกัน รู้บทบาทหน้าที่ของตนเองว่าต้องทำอะไร อยู่ตรงไหน และเชื่อมต่อกับใคร
คริสตจักร คือสังคมที่พระเจ้าทรงคาดหวังให้ทุกคนเป็นผู้ใหญ่ ทุกคน แม้แต่เด็ก ก็มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ อ.เปาโลเอง (ระดับการศึกษาขั้นปัจจุบันของเราเรียกว่า ด๊อกเตอร์ ท่านยังพบความจริงหลังจากมาเป็นคริสเตียนว่า ท่านเคยมีอาการเด็ก และเมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านก็เลิกอาการเด็ก เป็นผู้ใหญ่ในสังคมใหม่ คือคริสตจักรของพระเยซูคริสต์
1โครินธ์ 13:11 11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย
คริสตจักร เป็นสังคมที่จะรู้จัก คำว่า “สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้” มากที่สุด เพราะพระเยซูทรงเป็นเจ้าของวลีนี้ และเป็นผู้ให้สันติสุขนี้ และพระองค์เป็นผู้ตรัสว่า
มัทธิซ 16:18 18 ….บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้
“สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้” เกิดจากคริสตจักรที่พระเยซูคริสต์เป็นผู้สร้าง ไม่ใช่ความพยายามของมนุษย์ที่จะสร้างคริสตจักรให้กับพระเยซู
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า การพยายามที่จะสร้างคริสตจักรให้กับพระเยซู คริสตจักรก็จะออกมาหน้าตาแบบที่ไม่มีแบบแปลนในการสร้าง
มีคนเปรียบเทียบการสร้างบ้านแบบไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อน บ้านก็จะไม่เป็นบ้าน บ้างก็เริ่มที่ห้องน้ำก่อน เพราะว่าจำเป็น บ้านที่สร้างไม่เสร็จก็มีแต่ส้วม บ้างก็เริ่มที่กำแพง บ้านสร้างไม่เสร็จจึงไม่สามารถใช้หลบแดดหลบฝน หรือใช้อาศัยได้
พระเยซูทรงมีพระประสงค์ที่จะสร้างคริสตจักรของพระองค์เอง และพระองค์มีแบบแปลนแล้ว ว่าคริสตจักร (บ้านหลังนี้) จะมีสันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้ และคนที่พระองค์จะใช้ให้สร้างคริสตจักรให้กับพระองค์ พระองค์จะให้คนๆนั้นเห็นแบบแปลนของพระองค์ พระองค์จะให้คนๆนั้น มีของประทานห้าอย่าง ได้แก่ อัครทูต ผู้ประกาศ ผู้เผยพระวจนะ ศิษยาภิบาล และอาจารย์ เป็นผู้ที่จะเตรียมธรรมิกชนเพื่อการรับใช้ และพระเยซูก็จะให้คนที่อยู่ในคริสตจักร มีส่วนในการสร้างคริสตจักรร่วมกัน ด้วยของประทานที่จะทำให้คริสตจักรแข็งแรง ก็คือ คนที่มีของประทานยี่สิบกว่าอย่าง ในพระคัมภีร์ ของประทานเหล่านี้ กระจายอยู่ตามพี่น้องที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
สดุดี 133:1,3 1 ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด…3 …เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์
พระเจ้ายังทรงเป็นผู้บังคับบัญชาการสร้างคริสตจักรของพระองค์ ในพระคัมภีร์สดุดีข้อนี้ ใช้คำว่า บังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์ ซึ่งในหนังสือเอเฟซัสใช้คำว่า
….เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
คริสตจักรทีมี “สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้” คือสังคมที่น่าอยู่ ที่โลกนี้หาไม่ได้ ไม่มี เกิดจากคริสตจักรที่ถูกสร้างขึ้นด้วยของประทานที่พระเยซูคริสต์เจ้าประทานให้ ภายใต้การบังคับบัญชาพระพรของพระเจ้า เนื่องด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เหตุการณ์หนึ่งในขณะพระเยซูทรงทำพันธกิจ น่าจะให้บทเรียนแก่เราทั้งหลายในวันนี้ ดังต่อไปนี้
ลูกา 10:38-42 38 เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกกำลังเดินทางไป พระองค์จึงทรงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อมารธาต้อนรับพระองค์ไว้ในเรือนของเธอ39 มารธามีน้องสาวชื่อมารีย์ และมารีย์ก็นั่งใกล้พระบาทพระเยซูฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วย40 แต่มารธายุ่งในการปรนนิบัติมาก จึงมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ ซึ่งน้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ทำการปรนนิบัติแต่คนเดียว ขอพระองค์สั่งเขาให้มาช่วยข้าพระองค์”41 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเธอว่า “มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก42 สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้”
ความจริง สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้มาถึงบ้านของหญิงที่ชื่อ มารธา เมื่อพระเยซูคริสต์ (เจ้าชายแห่งสันติสุข) เสด็จเข้ามาในบ้านของนาง แต่ว่า อะไรเกิดขึ้น
1.เพราะรู้สึกแต่ว่าตนเองถูกเอาเปรียบ
40 แต่มารธายุ่งในการปรนนิบัติมาก จึงมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ ซึ่งน้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ทำการปรนนิบัติแต่คนเดียว ขอพระองค์สั่งเขาให้มาช่วยข้าพระองค์”
มารธารู้สึกว่า น้องสาวของเธอ คือมารีย์ กำลังเอาเปรียบเธอ ปล่อยให้นางทำงานหนักอยู่คนเดียว และตอนนี้ มารธากำลังตำหนิ พระเยซู หาว่า พระองค์ไม่สนใจ ความเดือดร้อนของนาง ที่ไม่มีใครช่วยเหลือ นางต้องทำงานคนเดียว จะว่า ตาขวางก็ว่าได้แล้วตอนนี้ อารมณ์ก็น่าจะโกรธทั้งน้องสาว และก็พาลโกรธพระเยซูไปด้วย (บางทีก็อาจจะคิดว่า พระเยซูไม่น่าจะมาเลย ) มาแล้ว ตนเองต้องวุ่นวาย ทำโน่นนี่นั่นอยู่คนเดียว
2.เพราะวุ่นวายใจกับหลายสิ่ง
41 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเธอว่า “มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก
พระเยซูคริสต์ทรงอ่านใจของมารธาออกว่า สิ่งที่ทำให้นางไม่สงบ ไม่มีสันติสุขที่แท้จริง ทั้งๆที่พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้าน เพื่อให้บ้านนี้ มีสันติสุข แต่มารธากลับไปมองเรื่องการรับใช้ ทำโน่นนี่นั่น ตามที่นางคิดเองว่า พระเยซูน่าจะต้องการอย่างนั้น อย่างนี้ โดยมองข้ามการเสด็จมาของพระเยซูว่า พระองค์กำลังนำสันติสุขที่ไม่เหมือนโลกนี้มาให้
พระเยซูเป็นคนสมถะ กินง่ายอยู่ง่าย ไม่เรียกร้องอะไรที่พิเศษ ซึ่งนางมารธา อาจมองว่า พระเยซูมีชื่อเสียง เป็นพระอาจารย์ ที่ต้องมีอะไรพิเศษ เลยต้องทำมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่านางคิดว่า ในความพิเศษนั้น นางคาดหวังจะได้รับอะไรพิเศษตอบแทนกลับมาหรือเปล่า เช่น ความชื่นชอบเป็นพิเศษจากพระเยซู และเหล่าสาวก ทั้งหมดนี้ จึงกลายเป็นความกระวนกระวายในหลายสิ่งนัก ของมารธา และพาลไปโกรธนางมารีย์ ที่ไม่ทำอย่างที่ตนเองอยากทำ ที่เรียกว่า งานรับใช้…..
3.เพราะใกล้เกลือ…กินด่าง
42 สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้”
พระเยซูสอนมารธา เรื่องการรู้ว่า ตนเองต้องการอะไร และยิ่งกว่านั้น ควรรู้ว่า พระองค์ต้องการอะไร มารีย์ตอบสนองการเข้ามาในบ้านของพระเยซูคืออยู่ใกล้พระองค์ และนั่งฟังคำของพระองค์
….มารีย์ก็นั่งใกล้พระบาทพระเยซูฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วย
มารีย์ได้สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้ ไม่ทุกข์ร้อน ไม่หิว ไม่กระวนกระวาย และที่สำคัญ นางไม่โกรธพี่สาว ที่มาว่านาง เรื่องสัพเพเหระทั้งหลาย
พระเยซูตรัสว่า 42 สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้”
คำว่า ใครจะชิงเอาไปได้ คือสำนวนคำเดียวกัน กับที่พระเยซูใช้สอน เรื่องเมล็ดที่ตกลงไปในพื้น
ลูกา 8:12 12 ที่ตกตามหนทางได้แก่ คนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วมารมาชิงเอาพระวจนะจากใจของเขา เพื่อไม่ให้เชื่อและรอดได้
หัวใจที่เป็นเพียงแค่หนทาง ที่เมล็ดแห่งพระวจนะตกแล้วก็ถูกมารมาชิงไป หมายถึง การไม่ยอมให้พระวจนะฝังลงในจิตใจ จิตใจที่ไม่ให้พระวจนะฝังลง คือจิตใจที่ไม่ยอมจำนน ไม่ให้พระวจนะทำงาน เป็นเพียงผู้ฟังพระวจนะ แล้วก็ผ่านไปเท่านั้น หัวใจของมารีย์ เป็นดินดี พร้อมรับพระวจนะให้ฝังลงไป นางมารีย์ให้ความสำคัญกับถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ แต่มารธาที่เอาแต่รับใช้ๆ เพราะมารธาคิดว่า นั่นคือการทำให้พระเยซูพอใจ กับการปรนนิบัติอย่างนั้น สันติสุขที่มาถึงแล้ว จึงหลุดไปจากมือของมารธา กลับกลายเป็นความกระวนกระวายใจแทน มารธาจึงกลายเป็นคนที่ใกล้เกลือ แทนที่จะได้กินเกลือ แต่กลับกลายเป็นใกล้เกลือ…กินด่าง คือ การพลาดไปจาก “สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้” ที่มาถึงบ้านของนางแล้ว
4.สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้…จะรักษาความเชื่อที่แท้จริงจนถึงที่สุด
เมื่อครอบครัวของมารธาและมารีย์เผชิญกับวิกฤต ในการสูญเสียลาซารัส น้องชายผู้เป็นที่รักไป ยอห์น 11:17-44
ยอห์น 11:21-27,28-29,32-33 21 มารธาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย22 ถึงแม้เดี๋ยวนี้ข้าพระองค์ก็ทราบว่าสิ่งใดๆ ที่พระองค์จะทูลขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะทรงโปรดประทานแก่พระองค์” 23พระเยซูตรัสกับนางว่า “น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก”24 มารธาทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทราบแล้วว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้าย เมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา”25 พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก26 และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม”27 มารธาทูลพระองค์ว่า “เชื่อพระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก”
28 เมื่อเธอทูลดังนี้แล้ว เธอก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า “พระอาจารย์เสด็จมาแล้ว และทรงเรียกเจ้า”29 เมื่อมารีย์ได้ยินแล้วเธอก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์30 ฝ่ายพระเยซูยังไม่เสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังประทับอยู่ ณ ที่ซึ่งมารธาพบพระองค์นั้น…32 ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย”
33 เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงสะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์34 พระองค์ตรัสว่า “พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน” เขาทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด”35 พระเยซูทรงพระกันแสง
มารีย์พูดกับพระเยซู ประโยคเดียวกันกับที่มารธาพูด แต่ทำให้พระเยซูร้องไห้ ไม่ต้องมีคำพูดที่แสดงความเชื่อมาก แต่เป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความเชื่อที่มาจากสันติสุขที่ไม่เหมือนโลกนี้ให้ เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงตรัสว่า ไม่มีใครจะชิงไปจากนางได้ แม้วิกฤตชีวิตจะเข้ามาโถมทับ มารีย์ยังมีความเชื่อ และความเชื่อนี้แหล่ะที่ทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้นมาจากความตาย
สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้ ทำให้เราสามารถรับมือกับวิกฤตที่เข้ามาในชีวิตของเราได้ ระวัง….
สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้…อาจหลุดมือไป
- เพราะรู้สึกแต่ว่า ตนเองถูกเอาเปรียบ
- เพราะวุ่นวายใจด้วยหลายสิ่ง
- เพราะใกล้เกลือ…กินด่าง
- สันติสุขที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ให้…จะรักษาความเชื่อที่แท้จริงจนถึงที่สุด