“เพื่อนรักของพระเยซู”
ภาษาอังกฤษมีคำหนึ่งที่เวลาเพื่อนกับเพื่อนจะลาจากกัน จะใช้คำว่า See you again แปลว่า แล้วพบกันอีกนะ โดยเฉพาะเพื่อนสนิทกัน เราไม่คิดว่า เราจะจากกันโดยไม่มีวันที่จะพบกันอีก แม้ว่าเราจะอยู่ห่างไกลกัน แตกต่างกันแค่ไหน แล้วเราจะได้พบกันอีก แม้จะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้เจอกัน แต่ความสัมพันธ์อย่างเพื่อนทำให้เราคาดหวังที่จะได้เจอกันอีก การตายของพระเยซูก็เช่นกัน ความตายได้พรากพระเยซูไปจากเหล่าสาวกชั่วระยะเวลาหนึ่งสำนวนของการจากกันแบบเพื่อนของพระเยซูปรากฏในหนังสือลูกาตอนหนึ่ง หลังจากพระเยซูถูกตรึงตายบนไม้กางเขน และถูกนำลงมาไปฝังในอุโมงค์ฝังศพ ย่างเข้าวันที่สาม กลุ่มผู้หญิงที่ติดตามพระเยซูได้เตรียมที่จะนำเครื่องหอมมาชโลมพระศพพระเยซูเป็นครั้งสุดท้ายในเวลาเช้ามืดที่เรียกว่ารุ่งอรุณ ลูกา 24:1-7 1 แต่เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์ ผู้หญิงเหล่านั้นจึงนำเครื่องหอมที่เขาได้จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์2 เขาเหล่านั้นเห็นก้อนหินกลิ้งออกพ้นจากปากอุโมงค์แล้ว3 และเมื่อเข้าไปมิได้เห็นพระศพของพระเยซูเจ้า4 เมื่อเขากำลังคิดฉงนด้วยเหตุการณ์นั้น ดูเถิด มีชายสองคนยืนอยู่ใกล้เขา เครื่องนุ่งห่มแพรวพราวจนพร่าตา5 ฝ่ายผู้หญิงเหล่านั้นกลัวและซบหน้าลงถึงดิน ชายสองคนนั้นจึงพูดกับเขาว่า “พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า6 พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลาย เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี7 ว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคนบาป และต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่’”8 เขาจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์ได้ กลุ่มผู้เชื่อพระเยซูเหล่านี้คาดหวังที่จะได้พบกับพระศพของพระเยซู แต่กลับได้พบกับทูตสวรรค์ผู้ส่งข่าวเท่านั้น และได้รับข้อมูลว่า พวกเขากำลังแสวงหาคนเป็นในพวกคนตาย พระเยซูไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาจำไม่ได้ถึงสิ่งที่พระเยซูได้เคยตรัสไว้ ทูตสวรรค์จึงต้องทบทวนความจำของพวกเขา 6 พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลาย เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี7 ว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคนบาป และต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่’” คำตรัสของพระเยซูเป็นคำพูดที่เป็นสำนวนว่า See you again แล้วพบกันอีกนะ สำหรับมนุษย์อย่างเรา เรารับรู้ว่า การตายคือการจากไปโดยไม่มีวันกลับมาได้พบกันอีก แต่สำหรับพระเยซู ความตายคือการพรากกันแค่ชั่วคราว ดังนั้น การฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู มีวัตถุประสงค์เพื่อจะพบกันอีก พระคัมภีร์บันทึกว่า พระเยซูทรงปรากฏหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญที่บันทึกรายละเอียดการสนทนาระหว่างพระเยซูกับเหล่าสาวกและพระเยซูใช้เวลานานที่สุดคือการปรากฏในครั้งที่สามในหนังสือยอห์น 21:1-17 1 ต่อมาพระเยซูได้ทรงสำแดงพระองค์แก่เหล่าสาวกอีกครั้งหนึ่ง ที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อย่างนี้2 คือ ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าแฝด นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์อีกสองคนกำลังอยู่ด้วยกัน3 ซีโมนเปโตรบอกเขาว่า “ข้าจะไปจับปลา” เขาทั้งหลายจึงพูดกับท่านว่า “เราจะไปด้วย” แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย 4 ครั้นรุ่งเช้า พระเยซูประทับยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่เหล่าสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู5 พระเยซูตรัสถามเขาว่า “ลูกเอ๋ย มีปลาบ้างหรือเปล่า” เขาตอบว่า “ไม่มี”6 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิดแล้วจะได้ปลาบ้าง” เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมาก จนลากอวนขึ้นไม่ได้7 สาวกคนที่พระเยซูทรงรักบอกเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อเปโตรได้ยินว่า เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล8 แต่สาวกคนอื่นๆ นั้น นั่งเรือมา และลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย เพราะเขาอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น 9 เมื่อเขาขึ้นมาบนฝั่งเขาก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาวางอยู่ข้างบน และมีขนมปัง10 พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เอาปลาที่ได้เมื่อกี้นี้มาบ้าง”11 ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง อวนติดปลาใหญ่เต็ม มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว ถึงมากอย่างนั้นอวนก็ไม่ขาด12 พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “มารับประทานอาหารกันเถิด” พวกสาวกไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “ท่านคือใคร” เพราะเขารู้อยู่ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า13 พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้เขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย14 นี่เป็นครั้งที่สาม ที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์แล้ว15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ” เขาทูลพระองค์ว่า “เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด”16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด”17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “เจ้ารักเราหรือ” เขาจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด สาวกเจ็ดคนที่เป็นชาวประมงได้กลับไปสู่อาชีพเดิม ด้วยความรู้สึกว่า ความตายได้พรากพระเยซูไปจากพวกเขาโดยไม่มีวันที่จะได้พบกับพระเยซูได้อีก ดังนั้น พวกเขาจึงกลับไปที่เดิมที่เคยทำ เคยอยู่ เคยเป็น คืออาชีพประมง กลับไปจับปลา แทนที่จะไปจับคนเหมือนดังจับปลา เหมือนตอนที่พระเยซูเคยอยู่กับพวกเขา พระคัมภีร์ตอนนี้บันทึกว่า การฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูเพื่อใช้เวลากับเหล่าสาวก เพื่อทบทวนความหลัง และคนที่จำความหลังได้คนแรกคือยอห์น ซึ่งได้เรียกตนเองว่า สาวกคนที่พระเยซูทรงรัก (เพื่อนรักของพระเยซู) 7 สาวกคนที่พระเยซูทรงรักบอกเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” การที่ยอห์นได้บันทึกแหตุการณ์ครั้งนี้เพื่อให้พวกเราในยุคต่อมาเข้าใจถึงความหมายของคำว่า เพื่อนรักของพระเยซู เพราะสิ่งที่ยอห์นสังเกตเห็นการสนทนาระหว่างพระเยซูกับเปโตร มีการใช้คำว่า “รัก” ที่แตกต่างกันสองคำ คำถามที่พระเยซูทรงใช้กับเปโตรสองคำถามแรกว่า 15 …“ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ” เขาทูลพระองค์ว่า “เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” 16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” คำถามของพระเยซูใช้คำว่า “รัก” ที่มีรากศัพท์ว่า อากาเป้ แปลว่า รักที่ตัดสินใจคิดอย่างรอบคอบ ที่เรามักเรียกว่า ไม่มีเงื่อนไข แต่เปโตรตอบพระเยซูด้วยคำว่า “รัก” ที่มีรากศัพท์ว่า “ฟีโล” แปลว่า รักอย่างเพื่อน รักด้วยผูกพันทางอารมณ์ หากจะมองดูความรักสองคำนี้ แตกต่างกันที่อารมณ์ รักแรกไม่มีอารมณ์เกี่ยวข้อง รักที่สองมีอารมณ์ผูกพันอย่างเพื่อน คำถามที่สาม พระเยซูใช้คำว่า “รัก” อย่างเพื่อนคำเดียวกันกับเปโตร 17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “เจ้ารักเราหรือ” เขาจึงทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด พระเยซูถามเปโตรว่า เปโตร เจ้ารักเราอย่างเพื่อนใช่ไม๊ งั้นก็จงเลี้ยงแกะของเราเถิด ทำไมคำถามนี้จึงทำให้เปโตรเป็นทุกข์ใจในคำถามที่สาม เพราะนั่นคือความสัมพันธ์ที่ผูกพันที่พระเยซูก็มีกับเปโตร และพระองค์ได้ทำสำเร็จบนไม้กางเขนไปแล้ว ยอห์นได้บันทึกความหมายนี้ก่อนหน้านี้ในหนังสือยอห์น 15:13-14 13ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน14 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามที่เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา พระเยซูทรงรักเราอย่างเพื่อนรักและปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายตอบสนองพระองค์ด้วยรักอย่างเพื่อนรักด้วย อย่าลืมว่า พระเจ้าของเรามีความเป็นบุคคล มีอารมณ์ ความรู้สึก แต่พระองค์ไม่มีบาป ไม่มีกิเลศตัณหาอย่างเรา ความรักอย่างเพื่อนรักไม่มีกิเลศตัณหาและความทะนงในลาภยศ ความรักอย่างเพื่อนรักไม่ใช่เพื่อความสนุกสนาน แต่ความรักอย่างเพื่อนรัก คือความรักที่ยิ่งใหญ่ อย่างที่ยอห์นได้กล่าวว่า 13ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน แม้เพื่อนรักอย่างเปโตรจะเคยปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง เป็นบาดแผลของความสัมพันธ์อย่างเพื่อนรัก ที่ความอ่อนแอของเพื่อนทำให้เพื่อนทรยศเพื่อนก็ตาม แต่พระเยซูก็ยังกลับมาหาเปโตรอีกครั้งเพื่อพบกันอีกก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ มีเพื่อนบางคนมีพฤติกรรมไม่ดี ไม่น่าไว้วางใจ สร้างความเสียหาย จนเพื่อนเดือดร้อน เพื่อนก็จะปฏิเสธความเป็นเพื่อน แต่พระเยซูได้ปกป้องเพื่อนคือเหล่าสาวกด้วยชีวิตของพระองค์ในวันที่พระเยซูถูกจับ ยอห์น18:8-9 8 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกท่านแล้วว่า เราคือผู้นั้น ถ้าท่านแสวงหาเรา ก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด”9 ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสซึ่งพระองค์ตรัสว่า “คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว” พระเยซูต้องการให้เราตอบสนองพระองค์อย่างเพื่อนรักของพระเยซู มิใช่อย่างผู้ศรัทธา ผู้เชื่องมงาย ผู้เชื่อที่ไม่มีความสัมพันธ์ ผู้เชื่อที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือเป็นผู้ที่ต้องการผลประโยชน์จากพระเยซู แต่พระองค์ต้องการเพื่อนรักที่เป็นเพื่อนตาย ไม่ใช่เพื่อนกิน ที่หาง่าย แต่เพื่อนตายหายาก ทำไม เพื่อนตาย เพื่อนรักจึงหายาก เพราะนั่นคือการเสียสละอันยิ่งใหญ่ พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายเพื่อหาเพื่อนรัก เพื่อนตาย ไม่ใช่หาเพื่อนกิน และในทำนองเดียวกัน เราทั้งหลายกำลังตอบสนองพระเยซูอย่างไร พระเยซูไม่เหมือนพระอื่นที่เป็นเพื่อนกิน แต่ไม่ใช่เพื่อนตาย เพราะไม่มีพระใดในโลกที่จะตายเพื่อเรา หรือนับเราเป็นเพื่อนรัก เพราะผู้ที่ถือว่าตนเองเป็นพระต่างๆมักจะถือว่าตนเองสูงกว่ามนุษย์ แต่พระเยซูไม่ได้ถือว่าพระองค์สูงกว่ามนุษย์ พระเยซูได้สาธิตการเป็นเพื่อนไว้อย่างนี้
1.มีหัวใจบริการ
ฟิลิปปี 2:5-8 5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์6 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน เราจะเห็นพระเยซูย่างปลารอไว้ และเสริฟอาหารให้กับสาวกทั้งเจ็ดคน ส่งปลา ขนมปัง และพระเยซูยังถามสาวกอีกว่า เอาปลาส่งมา พระองค์จะย่างให้เพิ่ม ถ้าเราเป็นเพื่อนรักของพระเยซู เราต้องมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ คำว่า รับสภาพทาส รากศัพท์ภาษากรีกแปลว่า สภาพความเป็นผู้รับใช้ ผู้ปรนนิบัติ เพื่อนรักของพระเยซูคริสต์ต้องมีสปิริตอย่างเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ คือหัวใจบริการ มาระโก 10:43-45 43 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย44 และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง45 เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก” พระเยซูได้ถ่ายทอดสปิริตของการเป็นผู้ปรนนิบัติให้กับสาวก หัวใจบริการคือหัวใจของคนที่ไม่ได้แสวงหาการเป็นนายคนอื่น อย่าให้เราติดกับใจที่มักใหญ่ใฝ่สูง อย่าให้เราติดกับค่านิยมของคนไทยที่ว่าเป็นเจ้าคนนายคน แต่ให้เราเป็นเพื่อนรักของพระเยซูที่มีสปิริตอย่างเดียวกัน หัวใจบริการ ไม่ว่าคนที่เราบริการจะอยู่ในฐานะด้อยกว่าเราเพียงใด เราจะไม่รู้สึกว่า เราอยู่เหนือคนเหล่านั้น หรือเลือกที่จะปรนนิบัติเฉพาะบางคนเท่านั้น อย่าลืมคำอุปมาของพระเยซูที่ว่า มัทธิว 25:40,45 40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย’…45 เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เราด้วย’ หัวใจบริการในที่นี้หมายความว่า สิ่งที่ควรทำกับผู้เล็กน้อย และสิ่งที่มิได้กระทำต่อผู้เล็กน้อย มีผลเท่ากับได้ทำและไม่ได้ทำต่อพระเยซูคริสต์เจ้าด้วย เพื่อนรักของพระเยซูไม่สามารถเพิกเฉยกับความจำเป็นของคนรอบข้าง แต่มีคนบางคน ที่ไม่ทำเพราะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ หรือหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดชอบ หรือไม่ใส่ใจ หรือไม่สนใจคนความเดือดร้อนของคนอื่น ก็ถือว่าได้หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อพระเยซูคริสต์เจ้าด้วย อย่าให้บางคนคิดว่าตนเองเดือดร้อนตลอดเวลาที่คนอื่นจะต้องมาใส่ใจตนเอง และเอาสาระวันนี้ไปโจมตีคนอื่นเพื่อเรียกร้องให้คนอื่นมาช่วยเหลือตนเอง นี่ก็เป็นคนที่ฉวยโอกาสใช้คำสอนของพระเยซูเพื่อหาประโยชน์เข้าหาตนเอง นี่ก็ไม่ใช่เพื่อนรักของพระเยซู แต่เป็นเพื่อนกินที่หากินกับความเป็นเพื่อนกับพระเยซู เพื่อนอย่างนี้พระเยซูฟื้นขึ้นมาแต่จะไม่มาหา การฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูมีจุดมุ่งหมายบนโลกนี้เพื่อพบกับเพื่อนรักของพระเยซูที่มีสปิริตเดียวกัน พระเยซูได้สาธิตความเป็นเพื่อนรักกับเปโตรมาก่อนนั่นคือ
2.ติเพื่อก่อได้
มาระโก8:33 33 พระองค์หันพระพักตร์มามองพวกสาวกแล้วตำหนิเปโตรว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น เพราะเจ้าคิดอย่างคน ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า” เพื่อนรักของพระเยซูคริสต์รับคำตำหนิตรงๆจากพระเยซูได้ เหมือนกับเปโตรที่ยังติดตามพระเยซูแม้จะถูกตำหนิแรงๆจากพระเยซู ไม่ได้คิดน้อยใจ ไม่ได้คิดเคียดแค้น ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น เพื่อนรักจะรู้ว่านี่คือความหวังดี คนที่มีสปิริตอย่างเดียวกันกับพระเยซูจะเตือนเราอย่างเพื่อนรัก ผู้รับใช้พระเจ้าหลายคนจะเตือนเราอย่างเพื่อนรัก แต่ถ้าไม่กล้าเตือนเรา แสดงว่า เขาไม่ใช่เพื่อนรักของพระเยซู เพื่อนรักของพระเยซูจะห่วงใยคนมากกว่าการกลัวที่คนจะไม่รัก พระเยซูไม่กลัวว่าเปโตรจะไม่รัก พระองค์จึงตำหนิเปโตรแรงๆ เพราะพระเยซูทรงรู้ว่าวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังเปโตรคือมารซาตานที่พยายามใส่ความคิดของมันมาขัดขวางน้ำพระทัยพระเจ้า แม้ความคิดจะดูดี ทำให้รู้สึกดี แต่ไม่ได้มาจากความคิดอย่างพระเจ้า คือมีการทรงนำที่มาจากพระเจ้า นี่คือประเด็นที่สำคัญของชีวิตที่มีการเจิม จะอยู่ภายใต้การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ให้เนื้อหนังนำ ในขณะที่พระเยซูได้ตรัสว่าพระองค์จะต้องตาย ต้องถูกทรมาน ต้องถูกประหารชีวิต แต่เปโตรกลับพูดถึงความไม่อยากสูญเสียพระเยซู ไม่อยากให้พระเยซูจากไปด้วยความตาย พระเยซูรู้ได้ทันทีว่า มารได้ใช้ความอ่อนแอของเปโตรเป็นเครื่องมือผ่านความสัมพันธ์การเพื่อนกับพระเยซูเพื่อทักท้วงแผนการของพระเจ้า แต่พระเยซูได้จัดการกับความคิดอย่างมารด้วยความเป็นเพื่อนกับเปโตรด้วยเช่นกัน “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น เพราะเจ้าคิดอย่างคน ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า”พระเยซูกำลังพูดกับซาตาน และพูดกับเปโตรในเวลาเดียวกัน บางครั้ง เราต้องระวังที่ความอ่อนแอของเราทางด้านความคิดจะกลายเป็นเครื่องมือของมาร เราต้องต่อสู้โดยขับไล่มารออกไปอย่างที่พระเยซูทรงทำกับเปโตร และนำเปโตรให้ได้เห็นความอ่อนแอของตนเองทางคำพูด ที่คิดอย่างมนุษย์ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า บางที ความอ่อนแอของเรา ที่มารอาจอยู่เบื้องหลังทำให้เราแสดงออกมาเป็นทางสายตาก็เป็นได้ โดยมีสายตาที่แข็งกร้าว ปากที่แสยะยิ้ม คำพูดที่ทำให้คนรู้สึกแย่ หรือการกระทำที่ขัดขวางน้ำพระทัยพระเจ้า เพียงเพราะเราไม่ใส่ใจความคิดของตัวเราว่า เรากำลังคิดอย่างมนุษย์ หรือคิดอย่างพระเจ้า ให้เราถามคนข้างๆว่า คุณกำลังคิดอย่างมนุษย์ หรือคิดอย่างพระเจ้า สุดท้าย เพื่อนรักของพระเยซูจะสื่อสารโดยการ…
3.ใช้ภาษาเดียวกัน
1โครินธ์ 2:13-14 13 เรากล่าวถึงเรื่องสิ่งเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญ ญาณได้ทรงสั่งสอน คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณ ให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง 14 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ เพื่อนรักของพระเยซูจะสามารถรับรู้ความคิดของพระเจ้าด้วยภาษาเดียวกันกับพระเจ้า เพราะพระเยซูได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับเราแล้ว และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเราจะสื่อสารภาษาฝ่ายวิญญาณกับเรา เมื่อเราฟังคำเทศนา ฟังเพลงพระเจ้า อ่านพระคำพระเจ้า รับคำหนุนใจจากผู้เชื่อด้วยกัน เราจะรับการสื่อสารนั้น แต่คนที่ไม่รับคือคนที่ไม่ได้สื่อสารภาษาเดียวกัน และยังเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลาที่จะทำตาม ไม่สามารถเข้าใจได้ ประโยคที่สำคัญอยู่ที่ประโยคสุดท้ายคือ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ ประโยคนี้แสดงให้เราได้เห็นว่า คริสเตียนทุกคนจะต้องเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่มีการสังเกตด้วยวิญญาณ มาจากคำกรีกที่แปลว่า Discernment มันไม่ใช่ของประทานเฉพาะสำหรับบางคน แต่เป็นของประทานสำหรับทุกคนที่เป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ แต่อาจจะมีคริสเตียนบางคน (จำนวนไม่น้อย) ที่ไม่เป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ แต่เป็นมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง จึงขาดความสามารถในการสังเกตวิญญาณ คือไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณ เพื่อนรักของพระเยซูจะต้องเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ สื่อสารภาษาเดียวกันกับพระองค์ เพื่อนรักของพระเยซูยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเหมือนกับพระเยซู แต่วันนี้เอาสามเรื่องก็พอแล้ว เพราะว่า ยอห์นได้บันทึกว่า ยอห์น 21:25 25 มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคาดว่า แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น จงจำสาระสำคัญของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูไว้ว่า พระองค์ฟื้นขึ้นมาเพื่อนพบกับเพื่อนรักของพระองค์ คุณเป็นเพื่อนรักของพระเยซูหรือไม่….
เพื่อนรักของพระเยซู
1.มีหัวใจบริการ
2.ติเพื่อก่อได้
3.ใช้ภาษาเดียวกัน